วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หมาไปสางสังกะตังที่ร้าน กลับมามีแต่รอยช้ำ ไม่ยอมกินข้าวไปหลายวัน..



เจ้าของหมาท่านนึงอุ้มน้องหมาเป็นสังกะตังทั้งตัวมาที่ร้าน..

เจ้าของหมา : ช่างคะ อาบน้ำหมาให้หน่อยค่ะ ขนเป็นสังกะตังเต็มเลยค่ะ ทำดีดีนะคะ เคยไปร้าน....มาค่ะ ทำไม่ดีเลย กลับมาหมามีแต่รอยช้ำ ไม่ยอมกินข้าวไปหลายวันเลย หนูว่าเค้าต้องตีหมาหนูแน่ๆเลยค่ะ!! หนูไม่ไปร้านนู้นอีกแล้วค่ะ เกลียดจริงๆๆๆ !@#$%^&*()_!@#$%^&*(... บลาๆๆๆ
ช่างอ๊อต : ถ้าให้ผมทำให้ สางขน+อาบน้ำให้ หมาของน้องก็คงมีรอยช้ำแล้วกลับไปบ้านก็คงไม่ยอมกินข้าว กินอาหารเหมือนกันนั่นแหละ ..ยังจะให้ผมทำรึเปล่า?????!!

เจ้าของหมา : ???????????..

หมาที่เป็นสังกะตัง ขนพันกันเเน่น ใช้ระยะเวลาในการสางขนนานมาก
ต่อให้ใช้ความระมัดระวังขนาดไหนในการสางขน น้องหมาก็จะได้รับความเจ็บปวดอยู่ดีไม่มากก็น้อย
รอยช้ำแดงบนผิวหนังหลังจากการสางขน ส่วนน้อยที่จะเกิดจากอุปกรณ์ที่ช่างใช้ในการสาง
ส่วนมากรอยช้ำแดงนั้นจะเกิดอยู่ก่อนเเล้ว เมื่อช่างสางขนที่พันกันออกเราก็จะเห็นรอยช้ำแดงได้ชัดเจนขึ้น
น้องหมาที่ต้องสางขนนานๆ ต้องเจ็บปวดจากขั้นตอนการสางขนเป็นเวลานานหลายชั่วโมง 
แน่นอนว่าต้องหงอยซึมเศร้า เจ็บปวดเป็นธรรมดา กลับไปบ้านก็คงช้ำในไม่อยากกินอยากเล่นอะไรเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นถ้าไม่อยากให้หมาต้องเจ็บ มีรอยช้ำจากการสางขน ไม่อยากให้หมาหงอยไม่ยอมกินอาหาร ก็ควรสางขนให้น้องหมาดีกว่านะครับ สางทุกวัน เช้า-เย็น อย่าให้เป็นสังกะตัง


"เคสนี้ผมไม่โทษช่างร้านนู้นนะที่ทำหมาหงอย ผมโทษเจ้าของหมานี่แหละที่ไม่ดูแลหมาของตนเอง"




ติดตามผมทาง facebook ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak 




วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำไมตัดขนหมาถึงแพงจัง แพงกว่าตัดผมคนอีก??

มีลูกค้าท่านนึง..ถามผมว่า 

"ทำไมตัดขนหมาถึงแพงจัง แพงกว่าตัดผมคนอีก???"

ตอบ..

1. อุปกรณ์ที่ใช้ในร้านกรูมมิ่ง(ตัดขน) มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับร้านบาร์เบอร์ของคน
2.ตัดขนหมาใช้เวลานานกว่าคนมากๆ มีหลายขั้นตอนดังภาพ(ซึ่งในแต่ละขั้นตอนก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยในการปฏิบัติงานอีกมากมาย
3.หมาพูดไม่รู้เรื่อง..บอกให้นิ่ง หันซ้ายหันขวาแบบคนไม่ได้..ช่างตัดขนต้องใช้สมาธิและความพยายามสูงกว่าการตัดผมคน
4.ช่างตัดขน มีความเสี่ยงสูงในการปฏิบัติงาน เสี่ยงต่อความดุร้ายและก้าวร้าวของหมา

ราคา อาบ+ตัด ในกทม.ตอนนี้ ส่วนมากราคาเริ่มต้นที่ 350 บาท (ราคาคงที่แบบนี้มาเกือบ10ปีแล้ว ทั้งๆที่ต้นทุนในการให้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ดังนั้นก็อย่าบ่นไปเลยครับเจ้าของน้องหมาทั้งหลาย ทางที่ดีก่อนจะเลี้ยงน้องหมาสักตัว สักสายพันธุ์หนึ่งควรศึกษาก่อนนะครับว่า น้องหมาที่เราอยากเลี้ยงนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไร โดยเฉพาะค่ากรูมมิ่ง หากคำนวณดูแล้วว่า การเงินเราไม่พร้อมที่จะดูแลเค้า ทางที่ดีก็อย่าเลี้ยงดีกว่าครับ มันจะเป็นภาระให้สังคมมากกว่า...

"หมาตัวหนึ่งจะอยู่กับเราไปสิบปี ยี่สิบปี คิดให้ดีก่อนเลี้ยงนะครับ"





ติดตามผมทาง facebook ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak 




วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

พาน้องหมาไปงานด็อกโชว์..

อยากให้เพื่อนๆ ที่คิดจะพาน้องหมาไปงานด็อกโชว์ตามสถานที่ต่างๆ อ่านกันนิดนึงนะครับ...








>>>ในปี 54
งาน Dog Show ที่อิมแพค มีโรคระบาดเกิดขึ้นกับน้องหมาที่ไปร่วมงาน
เรื่องราวมีดังนี้..... 

ในงานประกวดหมาที่อิมแพ็คในปีนั้น
หลังจากบรีดเดอร์ประกวดน้องหมาของตนเสร็จ ก็นำหมากลับบ้านกัน
ปรากฏว่าหลังจากนั้น น้องหมาของบรีดเดอร์หลายท่าน หลายคอก
ก็มีอาการป่วยและล้มตายกันจำนวนไม่น้อย
มีการคาดเดาของสาเหตุการตายมากมาย
แต่ความเป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเกิดจากการติดโรคระบาด
แน่นอนว่า เชื้อโรคนี้คงไม่ได้มาจากหมาที่เข้าประกวดด้วยกันเพราะน้องหมาที่เข้าประกวดทุกตัวทั้งที่มาจากต่างประเทศและในไทยล้วนได้รับการทำวัคซีนตามกฎหมายการนำเข้าสุนัขประกวด แต่คาดว่าจะมาจากบูธขายน้องมาที่มาตั้งขายในฮอลล์เดียวกัน

เจ้าของร้านส่วนใหญ่ในงานนั้นไม่ใช่คนไทยและน้องหมาที่นำมาขายในงานก็นำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งส่วนใหญ่ไปเหมามาจากประเทศรัสเซียอีกทอดหนึ่ง ลูกหมาที่นำมาขายส่วนใหญ่อายุน้อยๆทั้งนั้นไม่น่าจะทำวัคซีนครบ คงผ่านกระบวนการยัดใต้โต๊ะจนผ่านด่านมาได้ ทำให้เกิดการระบาดของโรคเช่น โรคลำไส้อักเสพติดต่อ หรือโรคไอเรื้อรัง (Kennel Cough) ซึ่งเชื้อ Kennel Cough มันมีหลายตัว เป็นไวรัสคล้ายๆกับหัด ถึงแม้น้องหมาในงานฉีดวัคซีนตัวนี้แล้ว แต่คิดว่าแต่ละประเทศเชื้อคงมีการพัฒนาเป็นของตัวเอง หมาของคนในงานนั้นคงไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อจากต่างประเทศ ก็เลยป่วย และตายในที่สุด...

ดังนั้นใครที่คิดจะพาน้องหมาไปงานด็อกโชว์ก็จงระมัดระวังไว้ให้ดี
>>น้องหมาของใครที่ยังรับวัคซีนไม่ครบก็ไม่ควรพาไปงานแบบนี้นะครับ โอกาสติดเชื้อจากน้องหมาตัวอื่นๆ มีสูงมาก
>>น้องหมาที่ป่วยอยู่เจ้าของก็ไม่ควรพาไปงานด็อกโชว์เพราะอาจได้รับเชื้อโรคเพิ่มเติม และยังจะเป็นพาหะไปแพร่เชื้อให้น้องหมาของผู้อื่น
>>ไม่ควรนำน้องหมาของเราเข้าไปใกล้ชิดในบูธขายลูกหมานะครับ พาเดินเล่นห่างๆ ในส่วนของเพ็ทช็อปจะดีกว่า
>>เจ้าของหมาเตรียมหน้ากกากอนามัยไปด้วยก็ดีนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้งานด็อกโชว์มักจะจัดในฮอลล์ ในห้าง ในห้องแอร์ โอกาสรับเชื้อทางอากาศมีสูงครับ ห่วงสุขภาพน้องหมาแล้วก็ควรห่วงสุขภาพของตนเองด้วยนะ


ติดตามผมทาง facebook ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak 

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก นิตยสารโลกสัตว์เลี้ยง

 


วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

อย่าสนใจโลกแห่งความจริง

" เพ้อฝันน่า!! ในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่รุ่งหรอก " คุณคงได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ เมื่อคุณเล่าไอเดียความคิดสร้างสรรค์ต่างๆนานาของคุณขึ้นมาให้ใครต่อใครฟัง

ในโลกแห่งความเป็นจริงมันช่างห่อเหี่ยวหัวใจเหลือเกิน มันเป็นโลกที่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มักเป็นฝ่ายแพ้เสมอ สิ่งเดียวที่จะชนะก็คืออะไรก็ตามที่คนรู้จัก มีคนทำไปก่อนแล้วแม้มันจะบกพร่องและไม่ได้ดีเสมอไปก็ตาม

หากมองดูดีดี คุณจะเห็นคนใน"โลกแห่งความเป็นจริง"ใบนั้นล้วนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและหดหู่สิ้นหวัง พวกเขามองว่าอะไรที่เป็นไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆมักจะพ่ายแพ้และล้มเหลวเสมอ

แย่ไปกว่านั้นพวกเขาพยายามฉุดคนอื่นลงหลุมไปด้วย ถ้าคุณเป็นคนมีความหวัง มีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียแปลกใหม่ดีดี พวกเขาจะพยายามโน้มน้าวคุณให้เชื่อว่าไอเดียของคุณนั้นจะล้มเหลว เป็นไปไม่ได้และคุณกำลังเสียเวลากับมันเปล่าๆ

อย่าไปเชื่อพวกเขาเลย โลกแห่งความจริงใบนั้นอาจจะเป็นโลกแห่งความจริงของพวกเขา แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บนโลกใบนั้นเสียหน่อย..

"อย่าสนใจโลกแห่งความจริง"

มีแฟนเพจหลายๆคนส่งข้อความถึงผม พวกเค้าเล่าว่า ทันทีที่เค้าบอกกับคนรอบข้างว่าจะเป็นช่างตัดขน อยากเป็นเจ้าของร้านตัดขนเล็กๆสักร้าน คนรอบข้างบอกพวกเค้าเสมอว่า

 บ้าน่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ!!
เป็นไปไม่ได้หรอก,จะรุ่งเหรอ???, 
เปิดร้านมันไม่ง่ายนะ!! เจ๊งกันหลายรายแล้ว..

ได้ยินแบบนี้แล้วพวกเค้าก็ท้อใจ จนต้องส่งข้อความมาถามผมว่า 

เป็นช่างตัดขนนี่มันยากมากเหรอ??
เปิดร้านจะเจ๊งไหม???

ผมคงตอบได้เพียงว่า "อย่าสนใจโลกแห่งความจริง"

หากคุณมีความแน่วแน่ที่จะเป็นช่างตัดขน คิดว่างานนี้มันจะทำให้คุณมีความสุขตลอดไปก็ทำเถอะครับ เป็นช่างตัดขนมันไม่ยากหรอก และหากจะเปิดร้านมันก็ไม่ได้เจ๊งกันง่ายๆหรอกครับ

ตอนที่ผมเริ่มมีความคิดจะเป็นช่างตัดขน ผมก็เจอคำพูดจากคนรอบข้างไม่ต่างจากพวกคุณเหมือนกัน แต่ผมโชคดีหน่อยที่ผมมีนิสัยดื้อ จึงรั้นไปเรียนตัดขนจนจบจนได้

ในช่วงที่ผมเรียนนั้น วงการกรูมมิ่งมันเป็นอะไรลึกลับมากๆ จะค้นหาข้อมูลอะไรมันยากไปหมด บทความตำราต่างๆที่เป็นภาษาไทยมีน้อยมาก อยากได้ความรู้อะไรก็ต้องเรียนกันปากต่อปาก ตัวต่อตัวกับคนที่เป็นช่างตัดขนมาก่อนแล้วเท่านั้น

ช่วงเวลานั้นมันฝังใจผมจริงๆ มันทำให้ผมมีความตั้งใจว่า สักวันหนึ่งหากผมมีความรู้มากพอที่จะถ่ายทอดใครต่อใครได้เเล้ว ผมจะทำมัน..

มันจึงเป็นที่มาของบทความต่างๆ ในบล็อกนี้
ผมเขียนเท่าที่ผมรู้ ถ่ายทอดจากสิ่งที่เห็น และเเสดงทัศนคติจากสิ่งที่ผมเป็น
มันอาจจะมีผิดพลาดบ้างต้องขออภัย และจะขอบใจมากๆ หากทุกคนเสนอความคิดเห็นหรืออภิปรายสิ่งต่างๆที่ผมได้เสนอออกไป ..เพราะมันจะช่วยให้ตัวผมฉลาดเเละพัฒนายิ่งขึ้น

บทความของผมเนื้อเรื่องไม่ติดต่อกันนะครับ เนื้อหาจะทยอยลงเรื่อยๆตามโอกาสที่เหมาะสม
เนื้อหาจะมีทั้งแนะนำการประกอบธุรกิจกรูมมิ่ง คำแนะนำสำหรับกรูมเมอร์ เเละสอนการกรูมมิ่งเบื้องต้นแก่เจ้าของสุนัข 

"หวังว่าบทความของผมจะช่วยให้คุณหลุดจากโลกแห่งความจริงของคนอื่นๆนะครับ"

ขอบคุณที่คอยติดตามครับ


วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำความรู้จักน้องหมาแต่ละสายพันธุ์กันเถอะ!!



หากคิดจะเป็นช่างตัดขนหมา ก็ต้องรู้จักน้องหมากันให้ดีก่อน

ในการปฏิบัติงานจริง น้องหมาแต่ละสายพันธุ์จะมีรูปแบบการกรูมมิ่งที่แตกต่างกันออกไป
พันธุ์ A ก็จะมีทรงขนมาตรฐานของสายพันธุ์แบบนึง
พันธุ์ B ก็จะมีทรงขนมาตรฐานอีกแบบนึง

ดังนั้นคนที่เป็นช่างตัดขน ต้องเเยกแยะให้ได้ว่าสุนัขแต่ละตัวเป็นพันธุ์อะไร จะได้ไม่ตัดผิดทรงกันนะจ๊ะ

ก่อนที่จะทำความรู้จักสุนัขแต่ละสายพันธุ์ ผมอยากให้ทุกคนรู้จักการแบ่งกลุ่มของสุนัขกันก่อน
เนื่องจากสุนัขในโลกใบนี้มีหลากหลายสายพันธุ์มากๆ ดังนั้นนักวิชาการเค้าจึงต้องแบ่งสุนัขออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อง่ายแก่การศึกษา และง่ายแก่การจดจำครับ

สุนัขสามารถแบ่งกลุ่มได้ 7 กลุ่มดังนี้ครับ

1. Herding group


Herding group
เป็นสุนัขที่ใช้ในการคุมฝูงปศุสัตว์ต้อนวัวต้อนแกะให้เข้าคอก ถือเป็นกลุ่มใหม่ล่าสุดจาการจัดจำแนกของ AKC ซึ่งแต่เดิมสุนัขในกลุ่มนี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน นอกจากนี้แล้วสุนัขในกลุ่มนี้ยังมีสัญชาตญาณคอยดูแลเจ้าของสัตว์ ด้วยความสุภาพ โดยเฉพาะเด็กๆ แต่โดยทั่วๆไปแล้วเป็นสุนัขที่มีความฉลาด เป็นเพื่อนที่ดีและมีความรับผิดชอบ ได้แก่ สุนัขพันธุ์คอลลี่ พันธุ์บอร์เดอร์คอลี่ พันธุ์เวลคอกี้ พันธุ์โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก พันธุ์เซตแลนด์ชีพด็อก เป็นต้น

2. Toy group


Toy group
เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก หรือเรียกกันว่าสุนัขตุ๊กตา บางพันธุ์น้ำหนักตัวแค่ 1.5 ปอนด์ ประโยชน์คือเลี้ยงเพื่อ เป็นเพื่อนเพราะมีความน่ารัก ช่างประจบออเซาะเจ้าของ สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์ชิวาวา พันธุ์ปั๊ก พันธุ์ยอคเชียร์เทอร์เรีย เป็นต้น

3. Hound group


Hound group
เป็นสุนัขที่ใช้ไล่ล่าสัตว์ค้นหาตำแหน่ง ของกวาง หรือกระต่ายในโพรง สุนัขในกลุ่มนี้จะมีจมูกหรือสายตา ที่ดีมาก กลุ่มที่ใช้จมูกดมกลิ่นล่า เช่น สุนัขพันธุ์ดัชซุนพันธุ์บีเกิ้ล พันธุ์บลัดฮาวนด์ และยังมีกลุ่มที่ใช้สายตามองหาสัตว์ เช่น สุนัขพันธุ์อาฟกันฮาวนด์ พันธุ์ชาลูกิ เป็นต้น

4. Sporting group


Sporting group
สุนัขกลุ่มนี้ถูกคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อมีวัตถุประสงค์ใช้ งานในการล่าสัตว์และเกมส์กีฬา เป็นสายพันธุ์ที่มีความว่องไวปราดเปรียว ชอบวิ่งบนพื้นดินหรือทุ่งหญ้า รวมทั้งลงว่ายน้ำในสระน้ำหรือบ่อบึงได้อย่างคล่องแคล่ว สุนัขกลุ่มนี้มีความฉลาดเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ชอบให้คนมาเอ็นดูลูบบริเวณลำตัว รวมถึงการได้รับรางวัล บางครั้งเห่าเก่งและรื้อทำลายข้าวของหากไม่ได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียง พอเพื่อปลดปล่อยพลังงานอันเหลือเฟือ มีความอดทนสูงกับเด็กหรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ภายในครอบครัว จึงเป็นสุนัขกลุ่มหนึ่งที่เหมาะสมกับการเลี้ยงไว้เป็นสมาชิกในครอบครัว สุนัขกลุ่มนี้จะชอบการกัดแทะเบา ๆ เช่น การแทะมือเจ้าของหรือการกัดแทะของเล่นต่าง ๆ

5. Working group


Working group
สุนัขกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความรับผิดชอบต่องานหรือภารกิจ ที่ได้รับผิดชอบสูง เช่น การเฝ้ายาม การควบคุมฝูงปศุสัตว์ การเป็นสุนัขกู้ภัยหรือถูกฝึกให้เป็นสุนัขที่ใช้ช่วยในงานของตำรวจและทหาร เนื่องจากมีความแข็งแรงและความอดทนสูง ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ได้รับการถ่ายทอดมาแต่กำเนิด ซึ่งเกิดจากการคัดเลือกและผสมพันธุ์มาหลายชั่วรุ่นโดยนักเพาะพันธุ์สุนัขมือ อาชีพ ได้แก่ สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ พันธุ์โดเบอร์แมน พันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นต้น

6. Terrier group


Terrier group
สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์บูลเทอร์เรีย พันธุ์ฟอกซ์เทอร์เรีย พันธุ์แอร์เดลเทอร์เรีย เป็นต้น

7. Non - Sporting group


Non - Sporting group
เป็นสุนัขที่ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นกับคน สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่สุนัขพันธุ์บูลด๊อก พันธุ์ดัลเมเชียล พันธุ์พูเดิ้ล พันธุ์ เชาว์ เชาว์เป็นต้น

จำจดการแบ่งกลุ่มสุนัขนี้ไว้ให้ดีนะครับ
บทความต่อๆไป เราจะเจาะลึกลงไปในแต่ละสายพันะธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่พบมากในไทยครับ
เวลาทำงาน เปิดร้านกรูมมิ่ง จะได้รับมือและให้บริการอย่างถูกต้องครับ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก http://buddy-puppy.blogspot.com ครับ





วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จ้องตา มองหน้า หาเรื่องรึไง !!!???


ความจริงแล้วผมเป็นคนกลัวแมวนะ..กลัวมากๆเลยด้วย
แต่พอมาทำอาชีพกรูมเมอร์ อาการกลัวเหล่านี้ก็ลดลงไปมาก เพราะต้องเจอกับน้องแมวที่มาอาบน้ำ-ตัดขนอยู่บ่อยๆ
ผมโชคดีที่ลูกค้าที่เป็นน้องแมวของผมแต่ละตัว น่ารักน่าชัง...เชื่องทุกตัว บางตัวชอบอาบน้ำยิ่งกว่าน้องหมาเสียอีก
ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้กรูมมิ่งน้องแมวที่น่ารักเหล่านั้น ^^

สองสามเดือนที่ผ่านมาผมเริ่มออกมารับงานที่ต่างจังหวัดมากขึ้น
อาการกลัวแมวก็กลับมาเพิ่มมากขึ้นๆ ตามไปด้วย Y_Y
เพราะ น้องแมวที่ผมให้บริการช่วงหลังๆ ดุมากกกกกกก..
ที่นี่ (ศรีราชา ชลบุรี) ลูกค้าที่เป็นเจ้าของแมวส่วนใหญ่จะพาน้องแมวเข้าร้านกรูมมิ่งกันไม่บ่อย เฉลี่ยแล้ว 3 เดือน/1ครั้ง
ผมเคยสอบถามและรวบรวมเก็บข้อมูลลูกค้าที่นี่ ปรากฎว่ามีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่พาน้องแมวเข้าร้านกรูมมิ่งเป็นประจำทุกสัปดาห์
มิน่าล่ะ !! แมวที่นี่ ดุทุกตัว T^T

เวลาเจอน้องหมาดุๆ ดื้อๆ ผมจะจ้องหน้าเค้า แล้วบอกกับพวกเค้าในใจว่า "หยุดนะ อย่าดื้อ..ชั้นไม่กลัวแกหรอก ชั้นจะช่วยให้แกสะอาด เจ้าของแกจะได้รักแกมากๆ.."
แล้วน้องหมาก็จะนิ่ง ลดความก้าวร้าวลงบ้าง..
พอมาเจอน้องแมวดุ และดื้อ ผมก็ทำแบบเดิมที่เคยทำกับน้องหมาน่ะสิ..จ้องตาแมว แล้วบอกกับน้องแมวในใจว่า "หยุดนะ อย่าดื้อ..ชั้นไม่กลัวแกหรอก ชั้นจะช่วยให้แกสะอาด เจ้าของแกจะได้รักแกมากๆ.."
ผลที่ได้รับกลับมาจากน้องแมวก็คือ เสียงขู่ และรอยข่วน 5555+ 
ผลลัพธ์ช่างแตกต่างจากน้องหมาเหลือเกิน

ผมเลยต้องหาข้อมูลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??
คำตอบที่ได้ก็คือ การจ้องหรือสบตากับแมวโดยตรงนั้น จะทำให้แมวรู้สึกไม่ปลอดภัยและโดนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ถึงแม้จะเป็นเจ้าของก็ตาม ทั้งนี้ถ้าหากเผลอจ้องมองหรือสบตากับแมวไปแล้ว สามารถแก้ไขได้โดยการเพ่งไปที่ตาของแมวอีกครั้งพร้อมกับกระพริบตาช้า ๆ เพื่อทำให้แมวรู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจ และกลับมาเป็นมิตรเหมือนเดิมครับ..

จากนี้กรูมเมอร์ทุกคนก็อย่าเผลอไปจ้องตาน้องแมวนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน อิอิ ^^


วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ไถเท้าสูงกว่ามาตรฐาน ปัญหาเรื้อรังของวงการกรูมมิ่งไทย


เมื่อนักเรียนในโรงเรียนสอนตัดขนสุนัข เรียนการอาบน้ำหมาจนคล่องแคล่วแตกฉานแล้ว ขั้นตอนต่อไป นักเรียนทุกคนก็ต้องเรียนพื้นฐานการตัดขน
พื้นฐานอย่างแรกที่ต้องเรียนและเป็นพื้นฐานสำคัญมากคือ เรียนการไถเท้าและเตรียมขนบริเวณเท้า

ในการตัดขนหมา เมื่อเราอาบน้ำหมาและเตรียมสภาพขนหมาพร้อมแล้ว โดยทั่วไปการเริ่มตัดขนหมาทรงต่างๆ เราจะเริ่มกันที่เท้าหมากันก่อน  เนื่องจากจุดนี้จะเป็นตัวฐานที่จะกำหนดทรงบนลำตัวและขาของน้องหมาต่อไป
ในการไถเท้านั้นเราแบ่งลักษณะการไถออกเป็น 3ลักษณะคือ

1.การไถใต้อุ้งเท้า(เพื่อการตัดเท้ากลม) การไถขนลักษณะนี้เป็นการไถขนใต้อุ้งเท้าทั้งหมด และใช้กรรไกรตัดแต่งขนให้บริเวณเท้าเป็นวงกลมเมื่อมองจากใต้เท้า

2.การไถใต้เท้า(สำหรับสุนัขขนาดใหญ่หรือสุนัขที่มีขนประเภท Double coat) การไถลักษณะนี้เป็นการไถขนบริเวณอุ้งเท้าทั้งหมด จากนั้นใช้กรรไกรตัดแต่งทรง ให้ดูเรียบร้อยสวยงาม

3.การไถเปิดเท้า เป็นการไถขนบริเวณเท้าทั้งหมด ขอเน้นย้ำว่า แค่บริเวณเท้านะครับ อย่าไถสูงจนเกินมาตรฐานเพราะนอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังเป็นปัญหาในการตัดทรงขนอื่นๆบริเวณลำตัวให้ยากลำบากต่อไปด้วย


การไถเปิดเท้าสูงกว่ามาตรฐานถือว่าเป็นปัญหาเรื้องรังของวงการกรูมมิ่งไทย
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่เราเห็นหมาไถเท้าสูงๆเกินกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเพราะช่างที่ทำไว้ไม่รู้จริงๆว่ามาตรฐานที่ควรทำมันคืออะไร หรือว่าลูกค้าเป็นคนร้องขอให้ไถเท้าแบบนั้นกันแน่
ถ้าเจ้าของหมาเค้าขอให้ช่างไถเปิดเท้าน้องหมาสูงๆ สิ่งที่ช่างควรทำคือ ถามเจ้าของหมาว่า "ทำไมต้องไถสูง?????"

-ถ้าเป็นเหตุผลด้านสุขภาพ เช่นต้องรักษาโรคผิวหนังที่เท้า เหตุผลแบบนี้ก็ไถให้เค้าไปเถอะครับ
-ถ้าเป็นเหตุผลที่ว่า กลัวเท้าน้องหมาเปื้อน ช่างควรแนะนำเค้าว่า แค่เปิดเท้าสูงตามปกติมาตรฐาน เท้าเค้าก็ไม่เปื้อนแล้ว
-ถ้าเค้าบอกว่า กลัวเท้า กลัวแข้งหมาเปื้อน ก็ควรแนะนำทรงที่มันดูแลเท้าดูแลแข้งหมาง่ายๆให้เค้าดีกว่า แทนที่จะไถเปิดเท้าแบบสูงๆ ผิดมาตรฐาน

เชื่อรึเปล่าว่า ถ้าช่างเต็มใจที่จะเเนะนำลูกค้า ลูกค้าเค้าก็เชื่อและจะปฏิบัติตาม
(ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณแนะนำสิ่งดีดีให้เค้าไปรึยัง?)

รูปการไถเท้าที่ผิด(สูงเกินไป)


การไถเปิดเท้าหมาที่ถูกต้องความสูงจะสูงถึงบริเวณแนวเส้นแดง
หากสูงเกินกว่านี้จะถือว่าผิดมาตรฐาน


ช่างบางคนบอกว่า "ยังไงเค้าก็ลูกค้า เค้าเอาเงินมาให้เรา อยากได้อะไรก็ต้องทำให้".....งืมมม จะพูดไปมันก็ถูกครับ แต่อย่าลืมว่า ในฐานะช่างนอกจากเราจะมีหน้าที่ตัดขนน้องหมาแล้ว เรายังมีหน้าที่ที่จะต้องแนะนำโน้มน้าวเจ้าของหมาให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรด้วย เพราะเรามีหน้าที่เป็นผู้ดูแลสุขภาพและทรงขนน้องหมา ไม่ได้มีหน้าที่แค่ก้มหน้าก้มตาตัดไปวันๆ

เรื่องน่าตกใจที่สุดคือ ลูกค้าบางคนเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไถเท้าหมาที่ถูกต้องความสูงมันอยู่ตรงจุดไหน ที่ไถเท้าหมาถึงแข้งอยู่ทุกวันนี้เพราะว่าไปที่ร้านอื่นแล้วเค้าก็ไถมาให้แบบนี้ จนเค้าเข้าใจมาตลอดว่าที่ถูกต้องมันคือไถถึงแข้ง!!!

ได้ยินแล้วสลดใจและครุ่นคิดว่าทำไม คนที่ทำแบบนี้ถึงกล้าเรียกตัวเองว่าช่างและออกมาให้บริการกรูมมิ่งให้ชาวบ้านชาวช่องเค้า??



หากถามผมว่า เคยไหม? ที่จะแนะนำยังไงแล้วสุดท้ายเจ้าของหมาก็ยังจะไถเท้าแบบสูงๆอยู่ดี???

ขอตอบว่าเคยครับ แต่ในกรณีแบบนี้ถ้าผมมีอำนาจในการตัดสินใจในการให้บริการ ผมก็จะไม่ทำให้ครับ

การไถเปิดเท้าหมาสูงเกินไป ส่งผลให้การตัดทรงขนบนลำตัวของหมาผิดเพี้ยนตามไปด้วย
ลูกค้าของผมหลายรายที่ถูกผมปฏิเสธไม่ให้บริการไถเท้าสูง พวกเค้าออกจากร้านผมไปและไปใช้บริการร้านอื่น แต่สุดท้าย พวกเค้าก็กลับมาใช้บริการที่ร้านผมอยู่ดี เพราะในที่สุดพวกเค้าจะรู้เองว่าการไถเปิดเท้าสูงๆนั้น จะทำให้น้องหมาของพวกเค้าไม่สามารถตัดทรงขนสวยๆอื่นๆต่อไปได้อีก

“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นหมาขี้เหร่กับตา ก็จะไม่เชื่อช่างตัดขน”

สุดท้ายก็ต้องกลับมาให้ผมแก้ทรงขนให้

จากนี้ไปเจ้าของหมาทั้งหลายก็อย่างอแงที่จะไถเท้าสูงเพื่อเป็นภาระของหมาและช่างตัดขนอีก
ส่วนช่างตัดขน จากนี้ไปก็อย่าไถเท้าสูงกว่ามาตรฐานเลยครับ จะได้ไม่เป็นภาระของช่างคนอื่นๆที่ต้องมาแก้ไขทรงขนภายหลัง



"การไถเปิดเท้าหมาที่ถูกมาตรฐาน จะเป็นฐานที่ดีของการตัดทรงอื่นๆบนลำตัวต่อไป หากคุณไถฐานของมันผิดรูปร่างไปแล้ว ทรงด้านบนลำตัวก็จะผิดรูปร่าง อัปลักษณ์ตามฐานของมันไปนั่นเอง.."



ติดตาม Grooming By Khamnasak บน facebook ได้ที่ www.facebook.com/Khamnasak

วันพุธที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2556

“นี่เรามาเรียนตัดขนหมา หรือว่ามาเรียนอาบน้ำหมากันแน่?”


ตอนเป็นนักเรียนในโรงเรียนสอนตัดแต่งขนสุนัขในช่วงเดือนแรก ผมบ่นและถามตัวเองเสมอว่า
“นี่เรามาเรียนตัดขนหมา หรือว่ามาเรียนอาบน้ำหมากันแน่??”

ด้วยหลักสูตรโดยทั่วไปของโรงเรียนสอนตัดแต่งขนสุนัข เริ่มแรกนั้นทางโรงเรียนเค้าจะให้นักเรียนฝึกอาบน้ำหมากันก่อน ตอนแรกผมเองก็เซ็ง เพราะที่เราเสียเงินมาเรียนก็เพราะอยากเรียนตัดขนหมา ไม่ได้อยากเรียนอาบน้ำหมา
แล้วยิ่งตอนอาบน้ำหมาก็ไม่มีครูคนไหนเข้ามาสอนด้วยนะ ครูเค้าอุ้มหมามาให้แล้วพาเข้าห้องอาบเลย แล้วก็บอกให้รุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาสอนวิธีการอาบน้ำหมาว่าตั้งแต่ต้นจนจบเค้าทำยังไง..
ผมอาบน้ำหมาอยู่เกือบเดือนก็ยังไม่ได้ตัดขนหมา !! TT^TT


อย่างที่ได้บอกไป สัปดาห์แรกๆผมบ่นเสมอว่า อยากตัดขนหมาไม่อยากอาบน้ำหมา แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่สัปดาห์ที่สอง ความคิดหลายๆอย่างมันก็เปลี่ยนไป  จากที่เคยอยากตัดขน กลายเป็นว่าผมอยากอาบน้ำหมาแบบนี้ไปเรื่อยๆจนชำนาญ
เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆนั้น ผมเริ่มเข้าใจทีละนิด ว่าการอาบน้ำหมานั้นสำคัญยังไง
การอาบน้ำหมาในระบบของร้านกรูมมิ่ง นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดน้องหมาแล้วยังมีความสำคัญอื่นๆอีกคือ
1.เป็นการสำรวจสุขภาพ สรีระและสภาพขนของหมาก่อนรับการตัดขน โดยสภาพปกติเราจะไม่สามารถสำรวจสภาพผิวหนัง ตำหนิ สภาพขน ตลอดจนสรีระของหมาได้อย่างครบถ้วน แต่เมื่อเราได้ทำการอาบและไดร์ขน เราจะเข้าใจถึงสรีระและสภาพผิวหนังของหมาชัดเจน มันทำให้ง่ายต่อการตัดขน
ทำให้รู้ว่าขนเค้าเป็นยังไง เหมาะกับทรงขนแบบไหน?
ทำให้รู้ว่าสรีระเค้าอ้วนหรือผอม ขาโก่งงอผิดรูปตรงไหน? จะได้ตัดทรงขนเพื่อลดตำหนิและจุดด้อยเหล่านั้น

2.เป็นการเตรียมสภาพขนก่อนการตัด ในการตัดขนกรูมเมอร์ทุกคนต่างรู้ดีว่ายิ่งเราเตรียมขนดีเท่าไร การตัดทรงก็จะง่ายและสวยงามมากขึ้นเท่านั้น ลองสังเกตให้ดีจะพบว่าหลายๆครั้งที่เราตัดขนสุนัขออกมาแล้วดูไม่สวยไม่ใช่เพราะลักษณะทรงที่ไม่สวย แต่กลับเป็นเพราะขนหมาไม่ฟูหรือเรียงตัวสวยงามนั่นเอง ซึ่งก็เป็นผลมาจากการเตรียมขนก่อนตัดได้ไม่ดี

3.เป็นการสร้างความคุ้นเคยกับหมาก่อนการตัดขน การตัดขนหมานั้นถือว่าใช้เวลายาวนานพอสมควร การได้อาบน้ำหมา เตรียมขนหมา จะเป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างหมากับกรูมเมอร์ทำให้ช่วงเวลาในการตัดขนนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ลดการขัดขืนของหมาระหว่างการตัด
เมื่อเข้าใจหลักการและความสำคัญของการอาบน้ำหมาแล้วผมก็ไม่งอแงหรือเบื่อหน่ายกับการอาบน้ำหมาอีกเลยตลอดระยะเวลาที่เป็นนักเรียนในโรงเรียนสอนตัดแต่งขนสุนัข ^^

ปล. 1.สำหรับเพื่อนๆที่เพิ่งเข้าเรียนตัดขนหมาและอยู่ในช่วงที่ต้องอาบน้ำนั้น อย่าพึ่งท้อนะครับ ผมอยากให้รู้ว่าการอาบน้ำหมาเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากจริงๆ ยิ่งเราทำหน้าที่ในการอาบได้ดีเท่าไร เราก็จะเข้าใจหมาได้มากขึ้น  เข้าใจสรีระของหมามากขึ้น มันทำให้การเรียนตัดขนนั้นง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นครับ
2.เมื่อเรียนจบออกมาประกอบธุรกิจกรูมมิ่ง เราจะพบว่าส่วนมาก หมาที่เข้ามารับบริการ จะเข้ามาอาบน้ำมากกว่าการตัดขน ดังนั้นฝึกอาบน้ำไว้เยอะๆแหละดี เพราะการทำงานจริง เราต้องทำมันบ่อยกว่าการตัดขน (ที่สำคัญอาบน้ำหมานั้นรายได้ดีกว่า ได้เงินเร็วกว่าการตัดขนนะจ๊ะ)
3.ในระบบของการเรียนของโรงเรียนสอนตัดขนสุนัข การที่ไม่มีอาจารย์เข้าไปสอนอาบ แต่กลับเป็นรุ่นพี่นั้น เพราะว่ามันเป็นขั้นตอนการฝึกฝนอย่างหนึ่ง เนื่องจากเมื่อเราเรียนการตัดขนจบและออกไปประกอบอาชีพหรือเปิดกิจการ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องพบเจอแน่นอนคือการฝึกฝนลูกจ้างภายในร้านของเรา การที่รุ่นพี่เป็นคนมาสอนเราก็เพราะว่าเป็นการฝึกการสอนงานลูกจ้างในร้านของเค้านั่นเอง (ผมก็พึ่งจะมาเข้าใจตอนใกล้เรียนจบนี่แหละ ที่ต้องเข้าไปสอนงานรุ่นน้อง)

หนทางการฝึกฝนการเป็นกรูมเมอร์ยังอีกยาวไกล ติดตามต่อไปในตอนหน้าละกันนะครับ.. :)


ติดตามทาง facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak





วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำไมร้านกรูมมิ่งถึงได้น่าลงทุนนัก??


วันนี้ผมขับรถจากห้างสรรพสินค้ากลับบ้าน ระยะทางก็ประมาณ 5 กิโลเมตร สิ่งหนึ่งที่สะดุดตาผมก็คือ มีร้านกรูมมิ่ง(อาบน้ำ-ตัดขน)เปิดใหม่เพิ่มขึ้นมาก จากเดิมที่เคยมีอยู่ประมาณ 3 ร้านตอนนี้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 8 ร้าน
โดยส่วนตัวผมในฐานะช่างที่ให้บริการงานด้านนี้ผมไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมมันถึงเพิ่มมากขึ้น แต่เชื่อว่าเพื่อนๆอีกหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ วันนี้ผมจะลองให้เหตุผลก็แล้วกันว่าทำไมร้านกรูมมิ่ง ถึงได้เกิดขึ้นใหม่มากมายขนาดนี้
นอกจากเหตุผลที่ว่าปริมาณสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขและแมวมีปริมาณเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกครับ


1.การที่สุนัขและแมวได้รับการดูแลเหมือนสมาชิกในครอบครัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ความต้องการด้านการแพทย์ สินค้าเพื่อสุขภาพอนามัยและบริการกรูมมิ่งเพิ่มมากขึ้น และด้วยการที่ผู้คนในปัจจุบันต้องการความสะดวกสบาย ชอบ One stop shopping เพราะไม่ต้องการเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จึงพบว่าทุกพื้นที่อยู่อาศัยนอกจากจะมีร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ธนาคาร ฯลฯ แล้วจะมีร้านขายสินค้าสัตว์เลี้ยง มีร้านอาบน้ำตัดขนสุนัข และโรงพยาบาลสัตว์เปิดใหม่อยู่เสมอ จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจนี้ที่ต้องการขยายสาขา หรือผู้ที่ต้องการเริ่มธุรกิจใหม่

2.เจ้าของสุนัขและแมวส่วนใหญ่เปลี่ยนจากกลุ่มที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ไปเป็นกลุ่มอายุประมาณ 20-30 ต้นๆ พักอาศัยในพื้นที่ๆเล็กลง เช่น ทาวน์เฮาส์หรือคอนโด และใช้รถยนต์ขนาดเล็กลง เป็นเหตุให้มีการเลี้ยงสุนัขและแมวขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้นและมีการดูแลอย่างใกล้ชิด จึงเป็นผลทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ธุรกิจบริการต่างๆเพื่อสุขภาพและความงาม(รวมทั้งธุรกิจกรูมมิ่ง)ของสัตว์เลี้ยง ตลอดจนสินค้าแฟชันขยายตัวมากขึ้นอย่างชัดเจน

3.เนื่องจากสังคมออนไลน์ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น การสื่อสารผ่านทาง Social Media  เติบโตขึ้นในตลาดสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน ทำให้ร้านกรูมมิ่งใหม่ๆ สามารถโฆษณาร้านของตนทาง Social Media และเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ต่างจากแต่ก่อนที่ผู้ใช้บริการร้านกรูมมิ่งจะใช้บริการแต่ร้านใหญ่ๆ หรือร้านดั้งเดิม ..เหตุผลนี้ทำให้ร้านกรูมมิ่งเปิดใหม่สามารถอยู่รอดในธุรกิจนี้ได้ง่ายมากขึ้น
นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ร้านกรูมมิ่งน่าลงทุนและเพิ่มขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องครับ

แต่อยากจะเตือนเพื่อนๆที่กำลังคิดจะเข้ามาทำธุรกิจกรูมมิ่ง (อาบน้ำ-ตัดขน) นิดนึงดังนี้ครับ

ข้อแรก ถึงแม้ว่าธุรกิจสัตว์เลี้ยงจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะสุนัขเพิ่มมากขึ้น แต่ว่าในจำนวนสุนัขที่เพิ่มมากขึ้นนั้นสัดส่วนของสุนัขขนสั้นก็เพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่มากกว่า อาจจะเป็นเพราะความนิยมและการต้องการหลีกเลี่ยงภาระการแปรงขนและดูแลขนของเจ้าของสัตว์เลี้ยง เหตุผลนี้อาจทำให้ความถี่ในการเข้ารับการบริการจากร้านกรูมมิ่งลดลง

ฉะนั้นเพื่อนๆที่คิดจะเปิดร้านกรูมมิ่งต้องปรับเปลี่ยนบริการตลอดจนโปรโมชันภายในร้านให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด เพื่อกระตุ้นความถี่ในการรับบริการของลูกค้าให้มากขึ้น 

ข้อสอง เพื่อนๆที่จะเปิดร้านกรูมมิ่งใหม่โปรดคำนึงอยู่เสมอว่า เมื่อร้านกรูมมิ่งขยายตัวมากขึ้น เปิดใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกค้าเองก็มีตัวเลือกในการรับบริการมากขึ้นด้วย ฉะนั้นตัวจริง ช่างที่มีฝีมือดีจริง ร้านที่ให้บริการดีเยี่ยมจริงๆเท่านั้นถึงจะอยู่รอดและแย่งส่วนแบ่งในตลาดได้ ดังนั้นก่อนเข้าทำธุรกิจนี้ต้องพิจารณาตัวเองก่อนว่าเรามีความสามารถและมีความพร้อมหรือยัง?


ตอนหน้ามาดูแนวโน้มร้านกรูมมิ่งในอนาคตกันครับ ..


ติดตามผมทาง facebook ที่ www.facebook.com/Khamnasak
บทความโดย  Khamnasak
ภาพจาก http://www.prettypet.com.au






วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

เรียนโรงเรียนสอนตัดขนสุนัขที่ไหนดีล่ะ???



เรียนโรงเรียนสอนตัดขนสุนัขที่ไหนดีล่ะ???

โรงเรียนสอนตัดขนสุนัขมีหลายแห่งที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือครับ
มีตังค์อยากโก้ อยากหรู ดูดีมีมาตรฐานหน่อยก็ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาครับ เพราะประเทศนี้ถือว่าเป็นเบอร์หนึ่งและเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ..เรื่องฝีมือการตัดน่ะผมไม่รู้หรอกว่าเค้าดีขนาดไหน แต่เรื่องการยกเอามาตรฐานนู่นนี่มาใช้และความละเอียด ระบบระเบียบของบทเรียนนั้น ถือว่าสุดยอดเป็นขั้นเป็นตอนครับ
แต่ข้อเสียอย่างหนึ่งสำหรับคนไทยเราน่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย น่าจะอยู่ที่หลักล้านครับ เพราะค่าเรียนสูง แต่ที่สูงกว่าคือค่าครองชีพที่นั่น เพราะหลักสูตรนั้นเรียนไม่ต่ำกว่าหกเดือนแน่นอน...

เอาล่ะ อย่าเพ้อๆ!!
กลับสู่ความเป็นจริง ไม่ต้องมองไปไหนไกลหรอก เอาแค่โรงเรียนในเมืองไทยเราก็พอเนอะ

ในเมืองไทยมีหลายที่ครับที่รับสอนตัดขนหมา จะเรียกว่าโรงเรียนก็ไม่ได้เพราะส่วนมาก จัดสอนกันไปเอง ไม่ได้รับรองจากหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น จะมีอยู่ที่เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าโรงเรียน ก็คงจะเป็น starwood  arts of dog grooming school ครับ เพราะสถาบันนี้เป็นสถาบันเดียวที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงศึกษาธิการ

สถาบันสอนตัดขนหมาในไทยส่วนมากเริ่มจากช่างที่มีความรู้ เล็งเห็นปัญหาการขาดช่างตัดขนในไทย เห็นช่องทางทางธุรกิจ ก็เลยเปิดการเรียนการสอนหาเงินเข้ากระเป๋ากันแหละครับ.. บางที่ก็ดี บางที่ก็แย่ คงแล้วแต่เวรแต่กรรมของพวกเราแหละครับ ว่าจะเลือกและหาข้อมูลได้ดีขนาดไหน ..เลือกเรียนที่ถูกต้องก็ดีไป เลือกไม่ดีหาข้อมูลไม่ดีก็ซวยไป

บทนี้ผมจึงมาแนะวิธีเลือกสถาบันสอนตัดขนหมากัน  จะได้ไม่ดวงซวยไปเลือกเรียนกับสถาบันแย่ๆกันนะครับ

1.ให้ดูก่อนว่า ใครเป็นเจ้าของสถาบัน  ประวัติและผลงานเป็นเช่นไร และมีใครเป็นผู้อำนวยการสอน.. เก่งจริงไหม? ...เรื่องเหล่านี้สำคัญมากๆ เพราะส่วนมาก เปิดสถาบันสอนกันทั้งๆที่ไม่ได้เก่งด้านนี้เลย เปิดมาหาเงินเอาเปรียบคนอยากเรียนตัดขนอย่างเดียว   (ต้องเรียกว่าเลวและไร้ความรับผิดชอบจริงๆ)..

2.หลักสูตรการเรียนการสอนต้องเป็นระบบแบบแผน มีแผนการเรียนที่ชัดเจน เป็นขั้นตอน มีการประเมินผล และรับรองผล

3.มีสถานที่เรียนเป็นหลักแหล่ง มีสถานที่เรียนทั้งทางภาคปฏิบัติและภาคทฤษฎี

4.มีหมาหุ่นให้คุณมาฝึกตัดอย่างเพียงพอ... ..หมาหุ่นในที่นี้ไม่ใช่หุ่นตุ๊กตาหมานะครับ ผมหมายถึงหมาจริงๆ ที่เราเอามาฝึกตัดกัน  บางสถาบันที่เปิดสอนไม่มีหมาให้เราฝึกตัดกันครับ สองสามวันมีตัวนึง บางวันสามสี่คนช่วยกันตัดตัวนึง รุมกันตัด รุมกันฝึก แบบนี้คงนึกภาพออกนะครับว่าจะเป็นยังไง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเรียนไปสิบชาติ ก็ไม่มีทางตัดเป็น.. ย้ำว่าให้ไปเรียนกับสถาบันที่เค้ามีหมาหุ่นมาให้เราฝึกตัดทุกวันครับ วันละตัว ตัวละคน

5.ระยะเวลาการเรียนการสอนสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสูตร..เอาเป็นว่าผมแนะนำง่ายๆอย่างนี้ก็แล้ว ถ้าคุณไม่มีพื้นฐานการตัดขนมาเลย สถาบันไหนที่สอนต่ำกว่าสองเดือนไม่ต้องไปเรียน เพราะคุณไปเรียนคุณก็ตัดไม่ได้ตัดไม่เป็นหรอก การตัดขนหมา ได้ทุกทรง ทุกพันธุ์มันต้องใช้เวลามากว่านั้น (ได้ตัดกับตัดได้เลือกเอาเองนะ ว่าคุณจะเอาแบบไหน)

6.มีราคาค่าเรียนที่เหมาะสมเป็นธรรม ข้อนี้ต้องพิจารณากันเอาเองนะครับ ใช้ตรรกะกันเอาเอง เพราะเรื่องพื้นฐานการเงินนั้นแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลครับ

7.สถาบันมีอุปกรณ์กรูมมิ่งที่ใช้สอนที่เป็นมาตรฐานสากลและมีให้ใช้อย่างเพียงพอกับจำนวนนักเรียน(อุปกรณ์ในที่นี้ไม่รวมอุปกรณ์ส่วนตัวนะครับ อันได้แก่ ปัตตาเลี่ยน และกรรไกร เพราะของพวกนี้เป็นสิ่งที่นักเรียนทุกคนต้องซื้อเอง เก็บไว้เป็นของส่วนตัว เพราะมันเป็นความรับผิดชอบในวิชาชีพ ในเมื่อคุณคิดจะเป็นช่างตัดขนแล้วคุณก็ต้องมีเครื่องมือหาเลี้ยงชีพ ..หากคุณคิดว่าไม่เอาไม่ซื้อ ไปยืมที่เรียน ไปยืมที่ทำงานเอา ก็เอาเป็นว่า ก็อย่ามาเป็นช่างตัดขนเลยนะจ๊ะ)

8.เคล็ดลับอีเล็กน้อยคือ.....ให้คุณสอบถามจากร้านตัดขนชั้นนำทั่วไปว่าหากจะรับช่างตัดขนสักคน เค้ารับที่จบมาและมีประกาศณียบัตรจากสถาบันใดบ้าง หากทางร้านเค้าบอกชื่อสถาบันไหน สถาบันนั้นก็น่าเชื่อถือได้ หากไม่เอ่ยถึงแสดงว่าสถาบันนั้นไม่เป็นที่ยอมรับครับ(เพราะคนในวงการนี้เค้ารู้กันดีว่าจบมาจากไหนแล้วมีคุณภาพบ้าง)

ยังมีอีกหลายข้อที่นำมาเป็นเกณฑ์การเลือกสถาบันสอนตัดขนได้ แต่มันก็อาจจะละเอียดยิบย่อยเกินไป เอาแค่แปดข้อนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วล่ะครับ

เอาล่ะตอนนี้พวกคุณก็ออกไปหาข้อมูลได้แล้วว่าสถาบันไหนน่าเรียนกันบ้าง .. ไปเลย Go Go Go !

ติดตามผมทาง facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

อยากเป็นช่างตัดขนหมา ต้องทำอย่างไรคะ?




“อยากเป็นช่างตัดขนหมาค่ะพี่ ต้องทำยังไงคะ??”
คำถามที่ผมได้ยินบ่อยๆ จากลูกค้า หรือเพื่อนๆที่ต้องการอาชีพใหม่หรืออาจจะหาอาชีพเสริม
“ก็เรียนตัดขนสิครับ...” คือคำตอบสั้นๆจากผมพร้อมกับรอยยิ้ม ^^

อาชีพช่างตัดขนสุนัขหรือกรูมเมอร์ กลายเป็นอาชีพที่น่าสนใจอีกอาชีพหนึ่งของทุกวันนี้
ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรสุนัข การขาดแคลนช่างตัดขน ..
โอ้ยยยย...สารพัด  
มันเลยทำให้อาชีพนี้มันน่าสนใจอย่างที่เห็นนั่นแหละ(วันหลังผมจะมาเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่าอาชีพนี้มันน่าสนใจยังไงในเชิงธุรกิจ)

บล็อกของผมต่อจากนี้ เลยตั้งใจไว้ว่า จะแชร์ประสบการณ์การทำงานด้านนี้ ถึงมันจะน้อยนิด เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานเหมือนใครๆ แต่อย่างน้อยมันก็คงจะเป็นประโยชน์ กับมือใหม่ที่ต้องการเข้ามาสู่วงการนี้บ้างแหละจริงไม๊ ^^

การเป็นช่างตัดขน จะมีฝีมือทักษะทางด้านนี้ได้ก็ต้องได้รับการฝึกฝนก่อน ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นเรามาดูกันก่อนไหมว่า คุณสมบัติที่ดี ที่จะทำให้คุณอยู่รอดในอาชีพนี้ มันต้องมีอะไรบ้าง..

           1.คุณต้องรักสัตว์ โดยเฉพาะหมากะแมวเพราะทั้งสองนี้คือลูกค้าหลักของคุณ คุณต้องมีใจเมตตา รักที่จะดูแลพวกเค้าให้สะอาดสะอ้าน น่ากอด น่าหอม น่าทะนุถนอม รักพวกเค้าจนคิดว่าเค้าเป็นสัตว์เลี้ยงของเราเอง เพราะอาชีพกรูมเมอร์นั้น ไม่ใช่แค่อาบน้ำตัดขน แต่คุณคือผู้ดูแลสุขภาพเค้าทุกรายละเอียด

                 2. คุณต้องเข้าใจพฤติกรรมสัตว์ ไม่รักสัตว์แบบหน้ามืดตามัว รักแบบผิดๆ..เคยเจอกันใช่ไหม แบบว่า ...โอ๋ๆๆๆ ลูกๆๆๆๆๆ ไม่ดื้อๆๆๆๆ นะคะ โอ๋ๆๆๆๆ.....(หมา)แง่งๆๆๆๆๆๆ!!!!  กัดๆๆๆๆๆ!!!...เห้อ !  ..ถ้าคุณเป็นแบบนี้ก็ทำอาชีพนี้ยากเหมือนกัน เพราะรักสัตว์น่ะเป็นคุณสมบัติที่คุณควรมี แต่ก็ต้องรักให้เป็น เข้าใจว่าเค้าเป็นหมาเป็นแมวเป็นสัตว์ ไม่ใช่ลูกไม่ใช่คน จะบอกกล่าวตักเตือนแบบคนมันก็ลำบาก.....ดังนั้นการเข้าใจพฤติกรรมสัตว์และมีทักษะการควบคุมสัตว์เลี้ยงจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

             3. มีวินัย รักสะอาด ไม่ขี้เกียจ

             4.มีครอบครัวและครู่ครองที่เข้าใจคุณในเรื่องของเวลา..เพราะอาชีพนี้มักจะมีวันหยุดหรือเวลาพักไม่ตรงกับอาชีพอื่นๆโดยทั่วไป วันเสาร์-อาทิตย์สำหรับคนอื่นๆคือวันหยุดแต่สำหรับกรูมเมอร์มันคือวันทำงาน เพราะเจ้าของสัตว์เลี้ยงเค้าว่างกันวันนี้แหละเค้าถึงพาน้องหมาน้องแมวมาหาเรา  แต่ ก็อย่าเพิ่งตกใจไป หากคุณอยู่ในอาชีพนี้นานๆไป คุณก็มีวิธีหยุดวันเสาร์-อาทิตย์แบบคนอื่นๆเหมือนกัน(ไว้จะมาบอกเคล็ดลับในบทต่อๆไป)

             5.มีทุนทรัพย์พอสมควร เพราะการเข้าเรียนฝึกฝนในอาชีพนี้ ต้องใช้ทุนทรัพย์ไม่น้อย

             6.คุณมีใจที่จะพัฒนาอาชีพนี้ให้มีมาตรฐานที่ดียิ่งๆขึ้นไป หากมาเพื่อตักตวงแค่จำนวนเงินเข้ากระเป๋า คุณก็ไปไม่รอดหรอก

หากมีคุณสมบัติพร้อมแล้ว ก็หาที่เรียนกันได้เลย....Go Go Go!!

บทหน้า มาดูวิธีการหาโรงเรียนสอนตัดขนกันนะครับ..
ติดตามผมทาง facebook ได้ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak