วันพุธที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2556

หมาไปสางสังกะตังที่ร้าน กลับมามีแต่รอยช้ำ ไม่ยอมกินข้าวไปหลายวัน..



เจ้าของหมาท่านนึงอุ้มน้องหมาเป็นสังกะตังทั้งตัวมาที่ร้าน..

เจ้าของหมา : ช่างคะ อาบน้ำหมาให้หน่อยค่ะ ขนเป็นสังกะตังเต็มเลยค่ะ ทำดีดีนะคะ เคยไปร้าน....มาค่ะ ทำไม่ดีเลย กลับมาหมามีแต่รอยช้ำ ไม่ยอมกินข้าวไปหลายวันเลย หนูว่าเค้าต้องตีหมาหนูแน่ๆเลยค่ะ!! หนูไม่ไปร้านนู้นอีกแล้วค่ะ เกลียดจริงๆๆๆ !@#$%^&*()_!@#$%^&*(... บลาๆๆๆ
ช่างอ๊อต : ถ้าให้ผมทำให้ สางขน+อาบน้ำให้ หมาของน้องก็คงมีรอยช้ำแล้วกลับไปบ้านก็คงไม่ยอมกินข้าว กินอาหารเหมือนกันนั่นแหละ ..ยังจะให้ผมทำรึเปล่า?????!!

เจ้าของหมา : ???????????..

หมาที่เป็นสังกะตัง ขนพันกันเเน่น ใช้ระยะเวลาในการสางขนนานมาก
ต่อให้ใช้ความระมัดระวังขนาดไหนในการสางขน น้องหมาก็จะได้รับความเจ็บปวดอยู่ดีไม่มากก็น้อย
รอยช้ำแดงบนผิวหนังหลังจากการสางขน ส่วนน้อยที่จะเกิดจากอุปกรณ์ที่ช่างใช้ในการสาง
ส่วนมากรอยช้ำแดงนั้นจะเกิดอยู่ก่อนเเล้ว เมื่อช่างสางขนที่พันกันออกเราก็จะเห็นรอยช้ำแดงได้ชัดเจนขึ้น
น้องหมาที่ต้องสางขนนานๆ ต้องเจ็บปวดจากขั้นตอนการสางขนเป็นเวลานานหลายชั่วโมง 
แน่นอนว่าต้องหงอยซึมเศร้า เจ็บปวดเป็นธรรมดา กลับไปบ้านก็คงช้ำในไม่อยากกินอยากเล่นอะไรเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นถ้าไม่อยากให้หมาต้องเจ็บ มีรอยช้ำจากการสางขน ไม่อยากให้หมาหงอยไม่ยอมกินอาหาร ก็ควรสางขนให้น้องหมาดีกว่านะครับ สางทุกวัน เช้า-เย็น อย่าให้เป็นสังกะตัง


"เคสนี้ผมไม่โทษช่างร้านนู้นนะที่ทำหมาหงอย ผมโทษเจ้าของหมานี่แหละที่ไม่ดูแลหมาของตนเอง"




ติดตามผมทาง facebook ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak 




วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำไมตัดขนหมาถึงแพงจัง แพงกว่าตัดผมคนอีก??

มีลูกค้าท่านนึง..ถามผมว่า 

"ทำไมตัดขนหมาถึงแพงจัง แพงกว่าตัดผมคนอีก???"

ตอบ..

1. อุปกรณ์ที่ใช้ในร้านกรูมมิ่ง(ตัดขน) มีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับร้านบาร์เบอร์ของคน
2.ตัดขนหมาใช้เวลานานกว่าคนมากๆ มีหลายขั้นตอนดังภาพ(ซึ่งในแต่ละขั้นตอนก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยในการปฏิบัติงานอีกมากมาย
3.หมาพูดไม่รู้เรื่อง..บอกให้นิ่ง หันซ้ายหันขวาแบบคนไม่ได้..ช่างตัดขนต้องใช้สมาธิและความพยายามสูงกว่าการตัดผมคน
4.ช่างตัดขน มีความเสี่ยงสูงในการปฏิบัติงาน เสี่ยงต่อความดุร้ายและก้าวร้าวของหมา

ราคา อาบ+ตัด ในกทม.ตอนนี้ ส่วนมากราคาเริ่มต้นที่ 350 บาท (ราคาคงที่แบบนี้มาเกือบ10ปีแล้ว ทั้งๆที่ต้นทุนในการให้บริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) ดังนั้นก็อย่าบ่นไปเลยครับเจ้าของน้องหมาทั้งหลาย ทางที่ดีก่อนจะเลี้ยงน้องหมาสักตัว สักสายพันธุ์หนึ่งควรศึกษาก่อนนะครับว่า น้องหมาที่เราอยากเลี้ยงนั้นต้องมีค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไร โดยเฉพาะค่ากรูมมิ่ง หากคำนวณดูแล้วว่า การเงินเราไม่พร้อมที่จะดูแลเค้า ทางที่ดีก็อย่าเลี้ยงดีกว่าครับ มันจะเป็นภาระให้สังคมมากกว่า...

"หมาตัวหนึ่งจะอยู่กับเราไปสิบปี ยี่สิบปี คิดให้ดีก่อนเลี้ยงนะครับ"





ติดตามผมทาง facebook ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak 




วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

พาน้องหมาไปงานด็อกโชว์..

อยากให้เพื่อนๆ ที่คิดจะพาน้องหมาไปงานด็อกโชว์ตามสถานที่ต่างๆ อ่านกันนิดนึงนะครับ...








>>>ในปี 54
งาน Dog Show ที่อิมแพค มีโรคระบาดเกิดขึ้นกับน้องหมาที่ไปร่วมงาน
เรื่องราวมีดังนี้..... 

ในงานประกวดหมาที่อิมแพ็คในปีนั้น
หลังจากบรีดเดอร์ประกวดน้องหมาของตนเสร็จ ก็นำหมากลับบ้านกัน
ปรากฏว่าหลังจากนั้น น้องหมาของบรีดเดอร์หลายท่าน หลายคอก
ก็มีอาการป่วยและล้มตายกันจำนวนไม่น้อย
มีการคาดเดาของสาเหตุการตายมากมาย
แต่ความเป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเกิดจากการติดโรคระบาด
แน่นอนว่า เชื้อโรคนี้คงไม่ได้มาจากหมาที่เข้าประกวดด้วยกันเพราะน้องหมาที่เข้าประกวดทุกตัวทั้งที่มาจากต่างประเทศและในไทยล้วนได้รับการทำวัคซีนตามกฎหมายการนำเข้าสุนัขประกวด แต่คาดว่าจะมาจากบูธขายน้องมาที่มาตั้งขายในฮอลล์เดียวกัน

เจ้าของร้านส่วนใหญ่ในงานนั้นไม่ใช่คนไทยและน้องหมาที่นำมาขายในงานก็นำเข้ามาจากประเทศจีน ซึ่งส่วนใหญ่ไปเหมามาจากประเทศรัสเซียอีกทอดหนึ่ง ลูกหมาที่นำมาขายส่วนใหญ่อายุน้อยๆทั้งนั้นไม่น่าจะทำวัคซีนครบ คงผ่านกระบวนการยัดใต้โต๊ะจนผ่านด่านมาได้ ทำให้เกิดการระบาดของโรคเช่น โรคลำไส้อักเสพติดต่อ หรือโรคไอเรื้อรัง (Kennel Cough) ซึ่งเชื้อ Kennel Cough มันมีหลายตัว เป็นไวรัสคล้ายๆกับหัด ถึงแม้น้องหมาในงานฉีดวัคซีนตัวนี้แล้ว แต่คิดว่าแต่ละประเทศเชื้อคงมีการพัฒนาเป็นของตัวเอง หมาของคนในงานนั้นคงไม่มีภูมิคุ้มกันเชื้อจากต่างประเทศ ก็เลยป่วย และตายในที่สุด...

ดังนั้นใครที่คิดจะพาน้องหมาไปงานด็อกโชว์ก็จงระมัดระวังไว้ให้ดี
>>น้องหมาของใครที่ยังรับวัคซีนไม่ครบก็ไม่ควรพาไปงานแบบนี้นะครับ โอกาสติดเชื้อจากน้องหมาตัวอื่นๆ มีสูงมาก
>>น้องหมาที่ป่วยอยู่เจ้าของก็ไม่ควรพาไปงานด็อกโชว์เพราะอาจได้รับเชื้อโรคเพิ่มเติม และยังจะเป็นพาหะไปแพร่เชื้อให้น้องหมาของผู้อื่น
>>ไม่ควรนำน้องหมาของเราเข้าไปใกล้ชิดในบูธขายลูกหมานะครับ พาเดินเล่นห่างๆ ในส่วนของเพ็ทช็อปจะดีกว่า
>>เจ้าของหมาเตรียมหน้ากกากอนามัยไปด้วยก็ดีนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้งานด็อกโชว์มักจะจัดในฮอลล์ ในห้าง ในห้องแอร์ โอกาสรับเชื้อทางอากาศมีสูงครับ ห่วงสุขภาพน้องหมาแล้วก็ควรห่วงสุขภาพของตนเองด้วยนะ


ติดตามผมทาง facebook ที่ https://www.facebook.com/Khamnasak 

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก นิตยสารโลกสัตว์เลี้ยง

 


วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

อย่าสนใจโลกแห่งความจริง

" เพ้อฝันน่า!! ในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่รุ่งหรอก " คุณคงได้ยินประโยคนี้บ่อยๆ เมื่อคุณเล่าไอเดียความคิดสร้างสรรค์ต่างๆนานาของคุณขึ้นมาให้ใครต่อใครฟัง

ในโลกแห่งความเป็นจริงมันช่างห่อเหี่ยวหัวใจเหลือเกิน มันเป็นโลกที่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มักเป็นฝ่ายแพ้เสมอ สิ่งเดียวที่จะชนะก็คืออะไรก็ตามที่คนรู้จัก มีคนทำไปก่อนแล้วแม้มันจะบกพร่องและไม่ได้ดีเสมอไปก็ตาม

หากมองดูดีดี คุณจะเห็นคนใน"โลกแห่งความเป็นจริง"ใบนั้นล้วนเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและหดหู่สิ้นหวัง พวกเขามองว่าอะไรที่เป็นไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ๆมักจะพ่ายแพ้และล้มเหลวเสมอ

แย่ไปกว่านั้นพวกเขาพยายามฉุดคนอื่นลงหลุมไปด้วย ถ้าคุณเป็นคนมีความหวัง มีความคิดสร้างสรรค์ มีไอเดียแปลกใหม่ดีดี พวกเขาจะพยายามโน้มน้าวคุณให้เชื่อว่าไอเดียของคุณนั้นจะล้มเหลว เป็นไปไม่ได้และคุณกำลังเสียเวลากับมันเปล่าๆ

อย่าไปเชื่อพวกเขาเลย โลกแห่งความจริงใบนั้นอาจจะเป็นโลกแห่งความจริงของพวกเขา แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บนโลกใบนั้นเสียหน่อย..

"อย่าสนใจโลกแห่งความจริง"

มีแฟนเพจหลายๆคนส่งข้อความถึงผม พวกเค้าเล่าว่า ทันทีที่เค้าบอกกับคนรอบข้างว่าจะเป็นช่างตัดขน อยากเป็นเจ้าของร้านตัดขนเล็กๆสักร้าน คนรอบข้างบอกพวกเค้าเสมอว่า

 บ้าน่า มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะ!!
เป็นไปไม่ได้หรอก,จะรุ่งเหรอ???, 
เปิดร้านมันไม่ง่ายนะ!! เจ๊งกันหลายรายแล้ว..

ได้ยินแบบนี้แล้วพวกเค้าก็ท้อใจ จนต้องส่งข้อความมาถามผมว่า 

เป็นช่างตัดขนนี่มันยากมากเหรอ??
เปิดร้านจะเจ๊งไหม???

ผมคงตอบได้เพียงว่า "อย่าสนใจโลกแห่งความจริง"

หากคุณมีความแน่วแน่ที่จะเป็นช่างตัดขน คิดว่างานนี้มันจะทำให้คุณมีความสุขตลอดไปก็ทำเถอะครับ เป็นช่างตัดขนมันไม่ยากหรอก และหากจะเปิดร้านมันก็ไม่ได้เจ๊งกันง่ายๆหรอกครับ

ตอนที่ผมเริ่มมีความคิดจะเป็นช่างตัดขน ผมก็เจอคำพูดจากคนรอบข้างไม่ต่างจากพวกคุณเหมือนกัน แต่ผมโชคดีหน่อยที่ผมมีนิสัยดื้อ จึงรั้นไปเรียนตัดขนจนจบจนได้

ในช่วงที่ผมเรียนนั้น วงการกรูมมิ่งมันเป็นอะไรลึกลับมากๆ จะค้นหาข้อมูลอะไรมันยากไปหมด บทความตำราต่างๆที่เป็นภาษาไทยมีน้อยมาก อยากได้ความรู้อะไรก็ต้องเรียนกันปากต่อปาก ตัวต่อตัวกับคนที่เป็นช่างตัดขนมาก่อนแล้วเท่านั้น

ช่วงเวลานั้นมันฝังใจผมจริงๆ มันทำให้ผมมีความตั้งใจว่า สักวันหนึ่งหากผมมีความรู้มากพอที่จะถ่ายทอดใครต่อใครได้เเล้ว ผมจะทำมัน..

มันจึงเป็นที่มาของบทความต่างๆ ในบล็อกนี้
ผมเขียนเท่าที่ผมรู้ ถ่ายทอดจากสิ่งที่เห็น และเเสดงทัศนคติจากสิ่งที่ผมเป็น
มันอาจจะมีผิดพลาดบ้างต้องขออภัย และจะขอบใจมากๆ หากทุกคนเสนอความคิดเห็นหรืออภิปรายสิ่งต่างๆที่ผมได้เสนอออกไป ..เพราะมันจะช่วยให้ตัวผมฉลาดเเละพัฒนายิ่งขึ้น

บทความของผมเนื้อเรื่องไม่ติดต่อกันนะครับ เนื้อหาจะทยอยลงเรื่อยๆตามโอกาสที่เหมาะสม
เนื้อหาจะมีทั้งแนะนำการประกอบธุรกิจกรูมมิ่ง คำแนะนำสำหรับกรูมเมอร์ เเละสอนการกรูมมิ่งเบื้องต้นแก่เจ้าของสุนัข 

"หวังว่าบทความของผมจะช่วยให้คุณหลุดจากโลกแห่งความจริงของคนอื่นๆนะครับ"

ขอบคุณที่คอยติดตามครับ


วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ทำความรู้จักน้องหมาแต่ละสายพันธุ์กันเถอะ!!



หากคิดจะเป็นช่างตัดขนหมา ก็ต้องรู้จักน้องหมากันให้ดีก่อน

ในการปฏิบัติงานจริง น้องหมาแต่ละสายพันธุ์จะมีรูปแบบการกรูมมิ่งที่แตกต่างกันออกไป
พันธุ์ A ก็จะมีทรงขนมาตรฐานของสายพันธุ์แบบนึง
พันธุ์ B ก็จะมีทรงขนมาตรฐานอีกแบบนึง

ดังนั้นคนที่เป็นช่างตัดขน ต้องเเยกแยะให้ได้ว่าสุนัขแต่ละตัวเป็นพันธุ์อะไร จะได้ไม่ตัดผิดทรงกันนะจ๊ะ

ก่อนที่จะทำความรู้จักสุนัขแต่ละสายพันธุ์ ผมอยากให้ทุกคนรู้จักการแบ่งกลุ่มของสุนัขกันก่อน
เนื่องจากสุนัขในโลกใบนี้มีหลากหลายสายพันธุ์มากๆ ดังนั้นนักวิชาการเค้าจึงต้องแบ่งสุนัขออกเป็นกลุ่มๆ เพื่อง่ายแก่การศึกษา และง่ายแก่การจดจำครับ

สุนัขสามารถแบ่งกลุ่มได้ 7 กลุ่มดังนี้ครับ

1. Herding group


Herding group
เป็นสุนัขที่ใช้ในการคุมฝูงปศุสัตว์ต้อนวัวต้อนแกะให้เข้าคอก ถือเป็นกลุ่มใหม่ล่าสุดจาการจัดจำแนกของ AKC ซึ่งแต่เดิมสุนัขในกลุ่มนี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสุนัขใช้งาน นอกจากนี้แล้วสุนัขในกลุ่มนี้ยังมีสัญชาตญาณคอยดูแลเจ้าของสัตว์ ด้วยความสุภาพ โดยเฉพาะเด็กๆ แต่โดยทั่วๆไปแล้วเป็นสุนัขที่มีความฉลาด เป็นเพื่อนที่ดีและมีความรับผิดชอบ ได้แก่ สุนัขพันธุ์คอลลี่ พันธุ์บอร์เดอร์คอลี่ พันธุ์เวลคอกี้ พันธุ์โอลด์ อิงลิช ชีพด็อก พันธุ์เซตแลนด์ชีพด็อก เป็นต้น

2. Toy group


Toy group
เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก หรือเรียกกันว่าสุนัขตุ๊กตา บางพันธุ์น้ำหนักตัวแค่ 1.5 ปอนด์ ประโยชน์คือเลี้ยงเพื่อ เป็นเพื่อนเพราะมีความน่ารัก ช่างประจบออเซาะเจ้าของ สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์ชิวาวา พันธุ์ปั๊ก พันธุ์ยอคเชียร์เทอร์เรีย เป็นต้น

3. Hound group


Hound group
เป็นสุนัขที่ใช้ไล่ล่าสัตว์ค้นหาตำแหน่ง ของกวาง หรือกระต่ายในโพรง สุนัขในกลุ่มนี้จะมีจมูกหรือสายตา ที่ดีมาก กลุ่มที่ใช้จมูกดมกลิ่นล่า เช่น สุนัขพันธุ์ดัชซุนพันธุ์บีเกิ้ล พันธุ์บลัดฮาวนด์ และยังมีกลุ่มที่ใช้สายตามองหาสัตว์ เช่น สุนัขพันธุ์อาฟกันฮาวนด์ พันธุ์ชาลูกิ เป็นต้น

4. Sporting group


Sporting group
สุนัขกลุ่มนี้ถูกคัดเลือกสายพันธุ์เพื่อมีวัตถุประสงค์ใช้ งานในการล่าสัตว์และเกมส์กีฬา เป็นสายพันธุ์ที่มีความว่องไวปราดเปรียว ชอบวิ่งบนพื้นดินหรือทุ่งหญ้า รวมทั้งลงว่ายน้ำในสระน้ำหรือบ่อบึงได้อย่างคล่องแคล่ว สุนัขกลุ่มนี้มีความฉลาดเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ชอบให้คนมาเอ็นดูลูบบริเวณลำตัว รวมถึงการได้รับรางวัล บางครั้งเห่าเก่งและรื้อทำลายข้าวของหากไม่ได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียง พอเพื่อปลดปล่อยพลังงานอันเหลือเฟือ มีความอดทนสูงกับเด็กหรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ภายในครอบครัว จึงเป็นสุนัขกลุ่มหนึ่งที่เหมาะสมกับการเลี้ยงไว้เป็นสมาชิกในครอบครัว สุนัขกลุ่มนี้จะชอบการกัดแทะเบา ๆ เช่น การแทะมือเจ้าของหรือการกัดแทะของเล่นต่าง ๆ

5. Working group


Working group
สุนัขกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความรับผิดชอบต่องานหรือภารกิจ ที่ได้รับผิดชอบสูง เช่น การเฝ้ายาม การควบคุมฝูงปศุสัตว์ การเป็นสุนัขกู้ภัยหรือถูกฝึกให้เป็นสุนัขที่ใช้ช่วยในงานของตำรวจและทหาร เนื่องจากมีความแข็งแรงและความอดทนสูง ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะที่ได้รับการถ่ายทอดมาแต่กำเนิด ซึ่งเกิดจากการคัดเลือกและผสมพันธุ์มาหลายชั่วรุ่นโดยนักเพาะพันธุ์สุนัขมือ อาชีพ ได้แก่ สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์ พันธุ์โดเบอร์แมน พันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ เป็นต้น

6. Terrier group


Terrier group
สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่ สุนัขพันธุ์บูลเทอร์เรีย พันธุ์ฟอกซ์เทอร์เรีย พันธุ์แอร์เดลเทอร์เรีย เป็นต้น

7. Non - Sporting group


Non - Sporting group
เป็นสุนัขที่ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นกับคน สุนัขกลุ่มนี้ได้แก่สุนัขพันธุ์บูลด๊อก พันธุ์ดัลเมเชียล พันธุ์พูเดิ้ล พันธุ์ เชาว์ เชาว์เป็นต้น

จำจดการแบ่งกลุ่มสุนัขนี้ไว้ให้ดีนะครับ
บทความต่อๆไป เราจะเจาะลึกลงไปในแต่ละสายพันะธุ์ โดยเฉพาะสายพันธุ์ที่พบมากในไทยครับ
เวลาทำงาน เปิดร้านกรูมมิ่ง จะได้รับมือและให้บริการอย่างถูกต้องครับ ^^

ขอบคุณข้อมูลจาก http://buddy-puppy.blogspot.com ครับ





วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จ้องตา มองหน้า หาเรื่องรึไง !!!???


ความจริงแล้วผมเป็นคนกลัวแมวนะ..กลัวมากๆเลยด้วย
แต่พอมาทำอาชีพกรูมเมอร์ อาการกลัวเหล่านี้ก็ลดลงไปมาก เพราะต้องเจอกับน้องแมวที่มาอาบน้ำ-ตัดขนอยู่บ่อยๆ
ผมโชคดีที่ลูกค้าที่เป็นน้องแมวของผมแต่ละตัว น่ารักน่าชัง...เชื่องทุกตัว บางตัวชอบอาบน้ำยิ่งกว่าน้องหมาเสียอีก
ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้กรูมมิ่งน้องแมวที่น่ารักเหล่านั้น ^^

สองสามเดือนที่ผ่านมาผมเริ่มออกมารับงานที่ต่างจังหวัดมากขึ้น
อาการกลัวแมวก็กลับมาเพิ่มมากขึ้นๆ ตามไปด้วย Y_Y
เพราะ น้องแมวที่ผมให้บริการช่วงหลังๆ ดุมากกกกกกก..
ที่นี่ (ศรีราชา ชลบุรี) ลูกค้าที่เป็นเจ้าของแมวส่วนใหญ่จะพาน้องแมวเข้าร้านกรูมมิ่งกันไม่บ่อย เฉลี่ยแล้ว 3 เดือน/1ครั้ง
ผมเคยสอบถามและรวบรวมเก็บข้อมูลลูกค้าที่นี่ ปรากฎว่ามีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้นที่พาน้องแมวเข้าร้านกรูมมิ่งเป็นประจำทุกสัปดาห์
มิน่าล่ะ !! แมวที่นี่ ดุทุกตัว T^T

เวลาเจอน้องหมาดุๆ ดื้อๆ ผมจะจ้องหน้าเค้า แล้วบอกกับพวกเค้าในใจว่า "หยุดนะ อย่าดื้อ..ชั้นไม่กลัวแกหรอก ชั้นจะช่วยให้แกสะอาด เจ้าของแกจะได้รักแกมากๆ.."
แล้วน้องหมาก็จะนิ่ง ลดความก้าวร้าวลงบ้าง..
พอมาเจอน้องแมวดุ และดื้อ ผมก็ทำแบบเดิมที่เคยทำกับน้องหมาน่ะสิ..จ้องตาแมว แล้วบอกกับน้องแมวในใจว่า "หยุดนะ อย่าดื้อ..ชั้นไม่กลัวแกหรอก ชั้นจะช่วยให้แกสะอาด เจ้าของแกจะได้รักแกมากๆ.."
ผลที่ได้รับกลับมาจากน้องแมวก็คือ เสียงขู่ และรอยข่วน 5555+ 
ผลลัพธ์ช่างแตกต่างจากน้องหมาเหลือเกิน

ผมเลยต้องหาข้อมูลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น??
คำตอบที่ได้ก็คือ การจ้องหรือสบตากับแมวโดยตรงนั้น จะทำให้แมวรู้สึกไม่ปลอดภัยและโดนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ถึงแม้จะเป็นเจ้าของก็ตาม ทั้งนี้ถ้าหากเผลอจ้องมองหรือสบตากับแมวไปแล้ว สามารถแก้ไขได้โดยการเพ่งไปที่ตาของแมวอีกครั้งพร้อมกับกระพริบตาช้า ๆ เพื่อทำให้แมวรู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจ และกลับมาเป็นมิตรเหมือนเดิมครับ..

จากนี้กรูมเมอร์ทุกคนก็อย่าเผลอไปจ้องตาน้องแมวนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน อิอิ ^^


วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556

ไถเท้าสูงกว่ามาตรฐาน ปัญหาเรื้อรังของวงการกรูมมิ่งไทย


เมื่อนักเรียนในโรงเรียนสอนตัดขนสุนัข เรียนการอาบน้ำหมาจนคล่องแคล่วแตกฉานแล้ว ขั้นตอนต่อไป นักเรียนทุกคนก็ต้องเรียนพื้นฐานการตัดขน
พื้นฐานอย่างแรกที่ต้องเรียนและเป็นพื้นฐานสำคัญมากคือ เรียนการไถเท้าและเตรียมขนบริเวณเท้า

ในการตัดขนหมา เมื่อเราอาบน้ำหมาและเตรียมสภาพขนหมาพร้อมแล้ว โดยทั่วไปการเริ่มตัดขนหมาทรงต่างๆ เราจะเริ่มกันที่เท้าหมากันก่อน  เนื่องจากจุดนี้จะเป็นตัวฐานที่จะกำหนดทรงบนลำตัวและขาของน้องหมาต่อไป
ในการไถเท้านั้นเราแบ่งลักษณะการไถออกเป็น 3ลักษณะคือ

1.การไถใต้อุ้งเท้า(เพื่อการตัดเท้ากลม) การไถขนลักษณะนี้เป็นการไถขนใต้อุ้งเท้าทั้งหมด และใช้กรรไกรตัดแต่งขนให้บริเวณเท้าเป็นวงกลมเมื่อมองจากใต้เท้า

2.การไถใต้เท้า(สำหรับสุนัขขนาดใหญ่หรือสุนัขที่มีขนประเภท Double coat) การไถลักษณะนี้เป็นการไถขนบริเวณอุ้งเท้าทั้งหมด จากนั้นใช้กรรไกรตัดแต่งทรง ให้ดูเรียบร้อยสวยงาม

3.การไถเปิดเท้า เป็นการไถขนบริเวณเท้าทั้งหมด ขอเน้นย้ำว่า แค่บริเวณเท้านะครับ อย่าไถสูงจนเกินมาตรฐานเพราะนอกจากจะดูไม่สวยงามแล้ว ยังเป็นปัญหาในการตัดทรงขนอื่นๆบริเวณลำตัวให้ยากลำบากต่อไปด้วย


การไถเปิดเท้าสูงกว่ามาตรฐานถือว่าเป็นปัญหาเรื้องรังของวงการกรูมมิ่งไทย
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่เราเห็นหมาไถเท้าสูงๆเกินกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเพราะช่างที่ทำไว้ไม่รู้จริงๆว่ามาตรฐานที่ควรทำมันคืออะไร หรือว่าลูกค้าเป็นคนร้องขอให้ไถเท้าแบบนั้นกันแน่
ถ้าเจ้าของหมาเค้าขอให้ช่างไถเปิดเท้าน้องหมาสูงๆ สิ่งที่ช่างควรทำคือ ถามเจ้าของหมาว่า "ทำไมต้องไถสูง?????"

-ถ้าเป็นเหตุผลด้านสุขภาพ เช่นต้องรักษาโรคผิวหนังที่เท้า เหตุผลแบบนี้ก็ไถให้เค้าไปเถอะครับ
-ถ้าเป็นเหตุผลที่ว่า กลัวเท้าน้องหมาเปื้อน ช่างควรแนะนำเค้าว่า แค่เปิดเท้าสูงตามปกติมาตรฐาน เท้าเค้าก็ไม่เปื้อนแล้ว
-ถ้าเค้าบอกว่า กลัวเท้า กลัวแข้งหมาเปื้อน ก็ควรแนะนำทรงที่มันดูแลเท้าดูแลแข้งหมาง่ายๆให้เค้าดีกว่า แทนที่จะไถเปิดเท้าแบบสูงๆ ผิดมาตรฐาน

เชื่อรึเปล่าว่า ถ้าช่างเต็มใจที่จะเเนะนำลูกค้า ลูกค้าเค้าก็เชื่อและจะปฏิบัติตาม
(ลองถามตัวเองดูสิว่า คุณแนะนำสิ่งดีดีให้เค้าไปรึยัง?)

รูปการไถเท้าที่ผิด(สูงเกินไป)


การไถเปิดเท้าหมาที่ถูกต้องความสูงจะสูงถึงบริเวณแนวเส้นแดง
หากสูงเกินกว่านี้จะถือว่าผิดมาตรฐาน


ช่างบางคนบอกว่า "ยังไงเค้าก็ลูกค้า เค้าเอาเงินมาให้เรา อยากได้อะไรก็ต้องทำให้".....งืมมม จะพูดไปมันก็ถูกครับ แต่อย่าลืมว่า ในฐานะช่างนอกจากเราจะมีหน้าที่ตัดขนน้องหมาแล้ว เรายังมีหน้าที่ที่จะต้องแนะนำโน้มน้าวเจ้าของหมาให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรด้วย เพราะเรามีหน้าที่เป็นผู้ดูแลสุขภาพและทรงขนน้องหมา ไม่ได้มีหน้าที่แค่ก้มหน้าก้มตาตัดไปวันๆ

เรื่องน่าตกใจที่สุดคือ ลูกค้าบางคนเค้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไถเท้าหมาที่ถูกต้องความสูงมันอยู่ตรงจุดไหน ที่ไถเท้าหมาถึงแข้งอยู่ทุกวันนี้เพราะว่าไปที่ร้านอื่นแล้วเค้าก็ไถมาให้แบบนี้ จนเค้าเข้าใจมาตลอดว่าที่ถูกต้องมันคือไถถึงแข้ง!!!

ได้ยินแล้วสลดใจและครุ่นคิดว่าทำไม คนที่ทำแบบนี้ถึงกล้าเรียกตัวเองว่าช่างและออกมาให้บริการกรูมมิ่งให้ชาวบ้านชาวช่องเค้า??



หากถามผมว่า เคยไหม? ที่จะแนะนำยังไงแล้วสุดท้ายเจ้าของหมาก็ยังจะไถเท้าแบบสูงๆอยู่ดี???

ขอตอบว่าเคยครับ แต่ในกรณีแบบนี้ถ้าผมมีอำนาจในการตัดสินใจในการให้บริการ ผมก็จะไม่ทำให้ครับ

การไถเปิดเท้าหมาสูงเกินไป ส่งผลให้การตัดทรงขนบนลำตัวของหมาผิดเพี้ยนตามไปด้วย
ลูกค้าของผมหลายรายที่ถูกผมปฏิเสธไม่ให้บริการไถเท้าสูง พวกเค้าออกจากร้านผมไปและไปใช้บริการร้านอื่น แต่สุดท้าย พวกเค้าก็กลับมาใช้บริการที่ร้านผมอยู่ดี เพราะในที่สุดพวกเค้าจะรู้เองว่าการไถเปิดเท้าสูงๆนั้น จะทำให้น้องหมาของพวกเค้าไม่สามารถตัดทรงขนสวยๆอื่นๆต่อไปได้อีก

“ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นหมาขี้เหร่กับตา ก็จะไม่เชื่อช่างตัดขน”

สุดท้ายก็ต้องกลับมาให้ผมแก้ทรงขนให้

จากนี้ไปเจ้าของหมาทั้งหลายก็อย่างอแงที่จะไถเท้าสูงเพื่อเป็นภาระของหมาและช่างตัดขนอีก
ส่วนช่างตัดขน จากนี้ไปก็อย่าไถเท้าสูงกว่ามาตรฐานเลยครับ จะได้ไม่เป็นภาระของช่างคนอื่นๆที่ต้องมาแก้ไขทรงขนภายหลัง



"การไถเปิดเท้าหมาที่ถูกมาตรฐาน จะเป็นฐานที่ดีของการตัดทรงอื่นๆบนลำตัวต่อไป หากคุณไถฐานของมันผิดรูปร่างไปแล้ว ทรงด้านบนลำตัวก็จะผิดรูปร่าง อัปลักษณ์ตามฐานของมันไปนั่นเอง.."



ติดตาม Grooming By Khamnasak บน facebook ได้ที่ www.facebook.com/Khamnasak